ถ้าจะพูดถึง Energy Saving นั้น หลายๆ คนอาจจะคิดถึงการเปลี่ยนหลอดไฟเป็นหลอดผอมหรือหลอดที่ประหยัดพลังงาน เปิดแอร์ 25 องศา หรือติดตั้งไดร์ฟกับมอเตอร์ จากที่ฟังมาทั้งหมดหรือว่าเคยได้ยินมานั้นค่อนข้างจะคลุมเครือ เราจึงจะมาอธิบายว่า Energy Saving ที่แท้จริงแล้วคืออะไร เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์
Energy Saving เป็นกระบวนการไม่ใช่เป็นวิธีทำที่ตายตัวซึ่งกระบวนการ Energy Saving แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้ คือ วัดและเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และปฏิบัติเพื่อให้ลดการสิ้นเปลืองให้ตรงจุด
วัดและเก็บข้อมูล
กระบวนการที่ต้องตรวจสอบตนเองว่ามีพฤติกรรมการใช้พลังงานเป็นอย่างไร ซึ่งทำได้โดยการติดตั้งเครื่องมือวัด อย่างเช่น Energy meter ตามจุดที่ต้องการวิเคราะห์เพื่อให้สามารถแบ่งแยกพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าเป็นสัดส่วนได้ ตัวอย่างคือ สำนักงานออฟฟิศที่ต้องติดตั้งมิเตอร์เพื่อวัดพฤติกรรมการใช้พลังงานของแต่ละชั้นเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบว่าชั้นใดใช้พลังงานสิ้นเปลืองกว่า หรือในโรงงานอุตสาหกรรมที่มี 3 ไลน์การผลิตก็อาจจะติดตั้งมิเตอร์แยกเพื่อวัดว่าไลน์ผลิตไหนใช้พลังงานมากกว่าไลน์อื่นๆ
ซึ่งการเก็บข้อมูลนี้ เราต้องการเก็บข้อมูลแบบต่อเนื่องเพื่อสามารถนำไปวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าต่อ 24 ชั่วโมง (Trend Graph) หรือสัปดาห์ หรือต่อเดือนได้ ไม่ใช่เป็นการเฉลี่ยข้อมูลเพราะอาจมีการสูญหายของข้อมูลที่เก็บได้
ปัจจุบันนี้มีเครื่องมือวัดที่ทันสมัยอยู่มากมายที่ตัวมิเตอร์ส่งข้อมูลสื่อสาร โดยมิเตอร์ย่อยจะส่งข้อมูลผ่านระบบในรูปแบบต่างๆ มาศูนย์ข้อมูลเพื่อทำ Data Logging วิเคราะห์ คือ การนำข้อมูลที่รวบรวมได้นั้นมาวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้พลังงานของแต่ละส่วน โดยวิเคราะห์ทั้ง 2 ประเภท คือ อุปกรณ์และพฤติกรรม
อุปกรณ์
เมื่อกล่าวถึงอุปกรณ์ ต้องมีการวิเคราะห์ว่าอุปกรณ์ตัวใดที่ทางสำนักงานหรือโรงงานมีส่วนแบ่งในการใช้พลังงานมากที่สุด ซึ่งจะมีกลุ่มใหญ่ๆ ดังต่อไปนี้
HVAC (Heating Ventilation Air Conditioning)
อุปกรณ์ประเภทที่ใช้สร้างความร้อนและความเย็นสำหรับเครื่องจักรและอาคารสำนักงาน เช่น ระบบแอร์ ตู้อบในโรงงาน ตู้เย็น เป็นต้น
Lighting
ระบบแสงสว่างเพื่อการมองเห็นและการให้สัญญาณ
Motor and Machine
มอเตอร์และเครื่องจักร ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม
โดยพฤติกรรมของการใช้พลังงานแต่ละกลุ่มธุรกิจจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เช่น กลุ่มโรงงานจะหนักไปทางมอเตอร์และเครื่องจักร กลุ่มสำนักงานจะหนักไปทาง Lighting และ HVAC กลุ่ม Data Center จะหนักไปทาง Computer, Server และ HVAC
ดังนั้นวิธีการที่จะประหยัดพลังงานของแต่ละกลุ่มธุรกิจก็จะแตกต่างกันไปเช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าเราจะใช้วิธีการที่จะประหยัดพลังงานของกลุ่มอุปกรณ์ ที่มีส่วนแบ่งการใช้พลังงานสูงสุด
พฤติกรรม
ถ้าจะกล่าวถึงพฤติกรรมนั้นจะเกี่ยวกับการวิเคราะห์ค่าพลังงานและ Demand สูงสุดแต่ละช่วงเวลา ซึ่งค่า Demand สูงสุดนั้น คือค่าเฉลี่ยของค่ากิโลวัตต์ทุกๆ 15 นาที เป็นไปตามเรทการคิดค่าทางไฟฟ้า โดยจะแตกต่างกัน เช่น การคิดค่าไฟแบบ TOU, TOD, และ Normal Rate ซึ่งการคิดค่าไฟฟ้าแต่ละแบบนั้นจะแตกต่างกันที่ช่วงเวลาการคิดค่า Peak Demand และ Rate ของค่าไฟในแต่ละช่วงเวลา เช่น โรงงานที่ต้องใช้ไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง ควรจะใช้เรท TOU จะเสียค่าไฟฟ้าน้อยกว่าการคิดค่าไฟฟ้าแบบ Normal Rate เป็นต้น
ซึ่งการวิเคราะห์พฤติกรรมจะเป็นการทำงานในลักษณะของการบริหารจัดการการใช้ไฟให้เหมาะสมกับเรทการคิดค่าไฟหรือการเลือกเรทการคิดค่าไฟให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้พลังงาน การประหยัดพลังงานนั้นโดยส่วนมากจะเลือกปฎิบัติจากวิธีการที่ใช้งบประมาณน้อยที่สุดและให้ผลประหยัดพลังงานมากที่สุดก่อน มี 2 ประเด็น คือ การปรับพฤติกรรมการใช้กับการนำอุปกรณ์มาช่วย
การปรับพฤติกรรมการใช้พลังงานของผู้ใช้งาน
โดยการปิดไฟ ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม เป็นต้น หรือการบริหารพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าให้เหมาะสมกับเรทการคิดค่าไฟของการไฟฟ้า เพื่อทำให้ลดค่าใช้จ่ายในส่วนค่าไฟให้น้อยลง ซึ่งส่วนนี้จะไม่ประหยัดพลังงานแต่เป็นการบริหารจัดการพลังงานเพื่อลดค่าใช้จ่าย
การใช้อุปกรณ์ช่วยประหยัดพลังงาน
การใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้อุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดพลังงาน ตัวอย่างการใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น เปลี่ยนไปใช้หลอดไฟแบบประหยัดพลังงานหรือหลอด LED , การเลือกใช้มอเตอร์มีประสิทธิภาพสูง อุปกรณ์ช่วยประหยัดพลังงาน เช่น การติดตั้ง Drive, Inverter กับ Motor การติดตั้งบัลลาธอิเลคทรอนิค การติดตั้งโวลท์เทจเรตกูเรเตอร์ เป็นต้น
การปรับปรุง Power Quality หรือคุณภาพไฟฟ้าสามารถที่จะประหยัดพลังงานได้เช่นกัน เช่น การปรับปรุงเรื่อง Harmonic, Power Factor เป็นต้น คุณสามารถไปอ่านบทความเพิ่มเติมเรื่อง แนวทางการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) และการปรับปรุงค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์
เราควรที่จะเห็นผลลัพธ์ของการประหยัดพลังงานในรูปของการประหยัดค่าใช้จ่าย และควรจะตรวจเช็คพร้อมทั้งวิเคราะห์เพิ่มเติมว่ามีพฤติกรรมที่ดีขึ้นจริงหรือไม่อย่างต่อเนื่องและปรับจูนเพื่อให้มีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นต่อไป
Energy Saving นั้นเป็นกระบวนการจริงๆ ที่เริ่มต้นตั้งแต่การวัด วิเคราะห์ ปฏิบัติ และติดตาม ปรับปรุง ซึ่งจำเป็นต้องทำให้เหมาะสมกับกลุ่มธุรกิจของท่าน โดยจะไม่มีวิธีการใดที่ตายตัว มันขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมหรือปัจจัยต่างๆ ที่อยู่รอบตัว คุณอาจจะต้องวิเคราะห์และปรับปรุงวิธีการจนกว่าจะพบความเหมาะสม
ถ้าคุณมีข้อสงสัยหรืออยากสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้า สามารถแชทมาหาเราได้ทันทีจากช่องแชทด้านล่างขวามือ หรือส่งเมลล์มาที่ [email protected] หรือผ่าน Line ที่ @factomart และเบอร์โทร 021-050-567 ได้หลากหลายช่องทาง มีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำตลอดเวลาทำการ