การเลือกใช้ Thermocouple คือ สิ่งสำคัญมากต่อการวัดค่าอุณหภูมิ เนื่องจากแต่ละปรเภทของ เทอร์โมคัปเปิล นั้นทำมาจากวัสดุที่แตกต่างกัน จึงทำให้มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานได้โดยตรง ดังนั้นในการเลือกใช้ เทอร์โมคัปเปิล ให้ได้ประสิทธิภาพนั้น เราควรที่จะมีความรู้ และ ความเข้าใจในเรื่องการแบ่งประเภทด้วย
ซึ่งทาง Factomart.com จะมาบอกถึงข้อคำนึงในการเลือกใช้ และ ประเภทต่างๆของ เทอร์โมคัปเปิล นั้นว่าเป็นอย่างไร? โดยเนื้อหาในส่วนนี้
จะเป็นการเติมความรู้ความเข้าใจในเรื่องของ Thermocouple คือ อะไร? เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเลือก กลุ่มสินค้าของ Thermocouple ได้อย่างเหมาะสม โดยรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น มาติดตามกันได้เลยนะครับ
การแบ่งประเภท และ การเลือกใช้ Thermocouple
ในการจัดประเภทของ Thermocouple นั้น เราสามารถแบ่งได้ตามวัสดุที่นำมาทำเป็นเซ็นเซอร์โดยคุณสมบัติของวัสดุที่แตกต่างกันนี้ จะทำให้เกิดค่า EMF (Electromotive Force) หรือ แรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ต่างกันด้วย
นอกจากนี้ชนิดของโลหะที่ใช้ทำเทอร์โมคัปเปิลก็ยังส่งผลต่อความเป็นเชิงเส้นของแรงดันเอาท์พุตของตัวเทอร์โมคัปเปิล เนื่องจากเป็นเซ็นเซอร์แบบ Active ที่ไม่จำเป็นต้องมีแหล่งจ่ายพลังงานให้ ก็สามารถสร้างแรงดันไฟฟ้าได้เองตาม หลักการทำงานของเทอร์โมคัปเปิล ที่กล่าวไว้ในบทความของ Factomart.com เราสามารถสรุปกลุ่มของโลหะหรือวัสดุที่ใช้ทำเซ็นเซอร์ออกเป็น 3 กลุ่ม ใหญ่ๆ คือ
Nickel Alloy กลุ่มโลหะชนิดนี้ใช้ทำเทอร์โมคัปเปิล เช่น Type K, J, T
Platinum/Rhodium Alloy กลุ่มโลหะชนิดนี้ใช้ทำเทอร์โมคัปเปิล เช่น Type B, R, S
Tungsten/Rhenium Alloy กลุ่มโลหะชนิดนี้ใช้ทำเทอร์โมคัปเปิล เช่น Type C, D, G
ในกลุ่มของโลหะที่ใช้ทำเทอร์โมคัปเปิลเหล่านี้ ส่วนใหญจะเป็นโลหะผสมจำพวกอัลลอย ซึ่งแล้วปริมาณ นอกจากนี้ต้นทุน จุดหลอมเหลวของโลหะ ความไวต่อการตอบสนองอุณหภูมิ ความสามารถในการทนต่อสารเคมี และสภาพแวดล้อมก็เป็นปัจจัยในการจำแนกประเภทของเซ็นเซอร์
Nickel alloy thermocouples
Type E ทำจากส่วนประกอบของวัสดุ chromel – constantan ให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงดันต่ออุณหภูมิที่สูงถึง (68µV/°C) เหมาะสำหรับงานวัดอุณหภูมิด้านต่ำๆ เช่น การแช่แข็ง โดยมีย่านการวัดอุณหภูมิอยู่ที่ −50°C ถึง +740°C และย่านแคบอยู่ที่ −110°C ถึง +140°C และมีคุณสมบัติที่แม่เหล็กดูดไม่ติด (non – magnetic)
Type J ทำจากส่วนประกอบของวัสดุ iron – constantan เป็นที่นิยมใช้งาน ให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงดันต่ออุณหภูมิอยู่ที่ (50µV/°C) เหมาะสำหรับงานวัดอุณหภูมิด้านกลางๆ โดยมีย่านการวัดอุณหภูมิอยู่ที่ −40°C ถึง +750°C ซึ่งแคบกว่า Type K แต่ให้ความไวในการวัดและความเป็นเชิงเส้นสูงกว่า Type K
Type K ทำจากส่วนประกอบของวัสดุ Chromel – Alomel เป็นที่นิยมใช้งาน ให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงดันต่ออุณหภูมิอยู่ที่ (41µV/°C) เหมาะสำหรับงานวัดอุณหภูมิด้านกลางๆ ถึงสูง โดยมีย่านการวัดอุณหภูมิอยู่ที่ −200°C ถึง +1350°C
Type M ทำจากส่วนประกอบของวัสดุ Ni/Mo 82%/18% – Ni/Co 99.2%/0.8% เหมาะสำหรับงานวัดอุณหภูมิและควบคุมอุณหภูมิในเตาเผาแบบสูญอากาศ เนื่องจากตัวโครงสร้างของวัสดุชนิดนี้จะไม่ทนต่อการเกิดออกซิเดชันในอุณหภูมิที่สูง ซึ่งอุณหภูมิสูงสุดที่สามารถใช้ได้อยู่ที่ 1400°C
Type N ทำจากส่วนประกอบของวัสดุ Nicrosil – Nisil ให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงดันต่ออุณหภูมิอยู่ที่ (39µV/°C ที่ 900°C) เหมาะสำหรับงานวัดอุณหภูมิด้านกลางๆ โดยมีย่านการวัดอุณหภูมิอยู่ที่ −270°C ถึง +1300°C ทนต่อการเกิดออกซิเดชัน และมีความเสถียรภาพการใช้งานดี ซึ่ง Thermocoule Type N ถูกออกแบบโดยองค์การวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหมของออสเตรเลีย เพื่อเอาชนะปัญหาที่เกิดในวัสดุที่ใช้ทำเซ็นเซอร์สร้างสัญญาณ EMF ที่ไม่คงที่
Type T ทำจากส่วนประกอบของวัสดุ copper – constantan เป็นที่นิยมใช้งาน ให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงดันต่ออุณหภูมิที่สูงถึง (43µV/°C) มีส่วนผสมของทองแดง นำความร้อนได้ดี เหมาะสำหรับงานวัดอุณหภูมิด้านต่ำ เช่น ห้องเย็น การแช่แข็ง โดยมีย่านการวัดอุณหภูมิอยู่ที่ −200°C ถึง +350°C และมีคุณสมบัติที่แม่เหล็กดูดไม่ติด
Platinum/rhodium alloy thermocouples
เทอร์โมคัปเปิล Types B, R, S ทำจากวัสดุที่ให้เสถียรภาพในการวัดอุณหภูมิที่ดี แต่จะให้ความไวในการวัดอุณหภูมิที่ต่ำกว่าเทอร์โมคัปเปิลแบบอื่นๆ ซึ่งให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงดันต่ออุณหภูมิอยู่ที่ (10µV/°C) โดยเทอร์โมคัปเปิลเหล่านี้เหมาะสำหรับการวัดค่าอุณหภูมิในด้านสูงๆ แต่ราคาหรือต้นทุนก็จะมีราคาสูงด้วย
Type B ทำจากส่วนประกอบของวัสดุ Pt/Rh 70%/30% – Pt/Rh 94%/6% เหมาะสำหรับงานวัดอุณหภูมิด้านสูง เช่น เตาเผาเซรามิก โดยสามารถวัดอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 1800°C เริ่มสามารถเริ่มวัดอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 50°C ซึ่งจะสูงกว่าอุณหภูมิห้อง เนื่องจาก EMF ที่ย่านอุณหภูมิต่ำจะมีน้อยมาก จนแทบวัดไม่ได้ ซึ่งหมายความว่าจุดอ้างอิงของอุณหภูมิของเทอร์โมคัปเปิลแบบนี้จะสามารถทำได้อย่างง่าย เพียงแค่กำหนดค่าคงที่ขึ้นมาแล้วอ้างอิงกับค่าอุณหภูมิห้อง
Type R ทำจากส่วนประกอบของวัสดุ Pt/Rh 87%/13% – Pt เหมาะสำหรับงานวัดอุณหภูมิด้านสูง เช่น เตาเผาเซรามิก โดยสามารถวัดอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 1ุ600°C และเป็นชนิดที่มีการใช้งานมากพอๆ กับ Type S
Type S ทำจากส่วนประกอบของวัสดุ Pt/Rh 90%/10% – Pt เหมาะสำหรับงานวัดอุณหภูมิด้านสูง โดยสามารถวัดอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 1ุ600°C โดยทาง ITS-90 ระบุช่วงการใช้งานของ Thermocouple Type S ที่มีความละเอียดสูงอยู่ที่ ุ630~1ุ064°C ซึ่งเหมาะสำหรับใช้เป็นตัวมาตรฐานในการสอบเทียบในห้องปฎิบัติการ
Tungsten/rhenium alloy thermocouples
เทอร์โมคัปเปิลที่กล่าวทั้งหมดในตอนต้นส่วนใหญ่แล้วจะไม่สามารถใช้งานภายใต้สภาวะแวดล้อมที่รุนแรง มีการกัดกร่อน ในอุณหภูมิสูงมากได้ แต่สำหรับเทอร์โมคัปเปิล Type C, D, G สามารถใช้งานที่อุณหภูมิสูงถึง 2315°C และเพิ่มสามารถเพิ่มย่านวัดได้ถึง 2760°C ภายใต้ภายใต้บรรยากาศของก๊าซเฉื่อย (Inert Atmosphere) เช่น บรรยากาศของก๊าซไนโตรเจน และได้ถึง 3000°C กรณีการวัดค่าแบบคร่าวๆ
Type C ทำจากส่วนประกอบของวัสดุ W/Re 95%/5% – W/Re 74%/26%
Type D ทำจากส่วนประกอบของวัสดุ W/Re 97%/3% – W/Re 75%/25%
Type G ทำจากส่วนประกอบของวัสดุ W – W/Re 74%/26%
เมื่อเราได้ทราบถึงประเภทของเทอร์โมคัปเปิลแล้ว จะเห็นได้ว่าเทอร์โมคัปเปิลนั้นมีหลากหลายชนิดซึ่งในแต่ละชนิดจะมีย่านการวัดอุณหภูมิที่เหมาะสมแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับความเป็นเชิงเส้นของแรงดันเอาท์พุต emf ของเทอร์โมคัปเปิลชนิดนั้น จากรูปด้านล่างแสดงให้เห็นถึงกราฟความเป็นเชิงเส้นของเซ็นเซอร์ชนิดต่างๆ
รูปที่ 1 กราฟความสัมพันธ์ของอุณหภูมิกับค่า emf ของเซ็นเซอร์ที่เหมาะกับการวัดอุณหภูมิช่วงสูง
รูปที่ 2 กราฟความสัมพันธ์ของอุณหภูมิกับค่า emf ของเซ็นเซอร์ที่เหมาะกับการวัดอุณหภูมิช่วงต่ำ
รูปที่ 3 กราฟความสัมพันธ์ของอุณหภูมิกับค่า emf ของเซ็นเซอร์ที่เหมาะกับการวัดอุณหภูมิช่วงกลาง
ปัจจัยเสริมในการเลือกใช้ Thermocouple
นอกจากการแบ่งประเภทของ Thermocouple ที่ทางเราได้จัดเตรียมมาให้ท่านผู้อ่านแล้วนั้น เรายังได้เตรียมปัจจัยอื่นๆที่ทางเราเห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน โดยปัจจัยเสริมต่างๆนั้น จะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
รหัสสี Color Code ของ Thermocouple
ในบางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะต้องระบุว่าเป็น Thermocouple ชนิดใด เนื่องจากโลหะมีหน้าตาที่คล้ายๆ กัน จึงได้มีการทำฉนวนที่ใช้หุ้มตัวสายเทอร์โมคัปเปิล เพื่อใช้ระบุประเภทของเทอร์โมคัปเปิล โดยมีการกำหนด รหัสสี (Color Code) กำกับไว้ที่ฉนวนที่ใช้หุ้มตัวสายเทอร์โมคัปเปิลแต่ละประเภท เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน โดยมาตรฐานที่มีอยู่ปัจจุบัน มีอยู่ หลากหลายแบบ เช่น IEC, BS, ANSI, JIS, DIN ตามตารางด้านล่าง
รูปที่ 4 ประเภทและมาตรฐานสีของเทอร์โมคัปเปิล
ฉนวนหุ้มเทอร์โมคัปเปิล Thermocouple Wire Insulation
ฉนวนหุ้มเทอร์โมคัปเปิล Thermocouple Wire Insulation ที่มีใช้งานในอุตสาหกรรมนั้น มีหลากหลากประเภทขึ้นอยู่กับความต้องการ และสภาพแวดล้อมในการใช้งาน เช่น มีความชื้น มีการกัดกร่อน หรือ อุณหภูมิสูง ซึ่งองค์ประกอบของฉนวนหุ้มเทอร์โมคัปเปิลนั้นจะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ Galvanized layer, Jacket Layer และ Insulation Layer โดยตัวอย่างของฉนวนหุ้มเทอร์โมคัปเปิลที่มีให้งานอยู่เป็นประจำในแต่ละเลเยอร์ได้แก่
รูปที่ 6 ฉนวนหุ้มเทอร์โมคัปเปิลแต่ละเลเยอร์
Insulation Layer และ Jacket Layer
Fiber Glass ใช้งานกับอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมไม่เกิน 300°C เหมาะสำหรับงานที่แห้ง ไม่มีความชื้น
PVC ใช้งานกับอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมไม่เกิน 105°C เหมาะสำหรับงานที่มีความชื้น ไม่ทนน้ำมัน
Teflon ใช้งานกับอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมไม่เกิน 350°C เหมาะสำหรับงานที่มีความชื้น
Silicone Rubber ใช้งานกับอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมไม่เกิน 180°C เหมาะสำหรับงานที่มีความชื้น
Galvanized layer
Stainless Steel ช่วยเพิ่มความแข็งแรง และกันสัญญาณรบกวน
Tinned Brass ช่วยเพิ่มความแข็งแรง และกันสัญญาณรบกวน
รูปที่ 7 ประเภทของฉนวนหุ้มสายเทอร์โมคัปเปิล
ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/Thermocouple
เกรดและความเที่ยงตรงของ Thermocouple
ความเที่ยงตรงในการวัดนั้นมีความสำคัญมาก ซึ่งจะเป็นตัวบ่งบอกถึงค่าที่วัดได้ว่าเชื่อถือได้หรือไม่ เวลาพูดถึงเครื่องมือวัดนั้นจะมีค่าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวัดดังนี้
Error หรือ ค่าผิดพลาดในการวัด
จริงๆ แล้วมีอยู่หลายส่วน เช่น Measurement Error คือค่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากเครื่องมือวัดเอง Human Error เป็นค่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากผู้ใช้งานเครื่องมือวัด เช่น การใช้งานผิดประเภท การอ่านค่าความผิดพลาดนั้น สามารถบอกเป็น % ของย่านการวัด หรือค่าผิดพลาดสูงสุดก็ได้Accuracy หรือ ความเที่ยงตรง
คือ ความแม่นยำในการวัดว่าตรงกับค่าจริงแค่ไหน เช่น ถ้าต้องการยิงธนู 1 ครั้ง ให้เข้าเป้าตรงกลาง ซึ่งถ้ายิงแล้วได้ตรงกลาง แสดงว่ามีความเที่ยงตรงหรือความแม่นยำสูง 100%Repeatability
คือ ความสามารถในการวัดค่าซ้ำ เช่น ยิงลูกธนู 100 ครั้ง เข้าเป้าจุดเดิม 95 ครั้ง ค่า Repeatability = 95%Resolution
คือ ความละเอียดในการวัด เช่น วัดอุณหภูมิได้ 100.01°C, 100.02°C, 100.03°C แสดงว่ามีความละเอียดได้ 0.01°C โดยเอาค่าที่เล็กที่สุด ที่สามารถอ่านค่าได้มาแสดงUncertainty of measurement
คือ ความไม่แน่นอนในการวัด เป็นการรวมค่าทางสถิติของความผิดพลาดทั้ง เช่น Thermocouple Type K ผ่านการสอบเทียบกับตัวอ่างทำอุณหภูมิที่อุณหภูมิ 100.00°C แต่ค่าที่อ่านออกมาได้คือ 100.10°C Uncertainty +/-1°C หมายความว่าค่าที่อ่านได้สามารถเป็นไปได้ตั้งแต่ 99.10°C ~ 101.10°C
สำหรับความเที่ยงตรงและเกรดของเทอร์โมคัปเปิลนั้น ขึ้นอยู่กับมาตรฐานในการผลิตเทอร์โมคัปเปิลนั้นๆ ว่าอ้างอิงกับมาตรฐานอะไร ตัวอย่างเช่น มาตรฐาน IEC584 ตัวเทอร์โมคัปเปิลที่มีใช้งานแพร่หลายแบบ MI Sheet (Mineral Insulated) เนื่องจากสามารถใช้งานในย่านวัดอุณหภูมิที่กว้าง ทนอุณหภูมิสูง ทนการกัดกร่อน มีความไวในการวัดสูง อายุการใช้งานยาวนาน และมีเทอร์โมคัปเปิลให้เลือกเกือบทุกแบบ และมีเกรดให้เลือก 3 เกรด ตั้งแต่ Class I, II, III แต่ส่วนใหญ่จะใช้ Class I เนื่องจากมีความเที่ยงตรงสูงสุด
รูปที่ 8 โครงสร้างของเทอร์โมคัปเปิลแบบ MI Sheet (Mineral Insulated)
Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.
รูปที่ 9 ค่า Error ของเทอร์โมคัปเปิลแบบ MI Sheet (Mineral Insulated) ที่คลาสต่างๆ
Sensing Junction ของเทอร์โมคัปเปิล
ส่วนสุดท้ายของเนื้อหาเกี่ยวกับประเภทของเทอร์โมคัปเปิลนั้นจะขอกล่าวถึงเรื่องของการเชื่อมต่อปลายของเซนเซอร์ หรือ Sensing Junction ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในเรื่องของความไวในการวัดอุณหภูมิ และอายุการใช้งานของเทอร์โมคัปเปิ้ลเอง ซึ่งจุดเชื่อมต่อนี้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ Exposed, Ground, Unground
Exposed แบบปลายเปิด สามารถวัดอุณหภูมิได้ไวที่สุด แต่อายุการใช้งานสั้นสุด
Ground แบบปลายปิดแต่เชื่อมต่อกับกราวด์ของระบบ ความไวในการวัดอุณหภูมิได้ปานกลาง
Unground แบบปลายปิดแต่ไม่เชื่อมต่อกับกราวด์ของระบบ ความไวในการวัดอุณหภูมิต่ำ
รูปที่ 10 Sensing Junction ของเทอร์โมคัปเปิล
ในการทำ Sensing Junction นั้น โดยทั่วไปสามารถเชื่อมได้ 2 วิธี คือ การเชื่อมแบบลูกปัด (Bead Well) และ การเชื่อมแบบกลมโดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับขนาดของเทอร์โมคัปเปิล (Butt Weld) โดยถ้าเปรียบเทียบเรื่องของความไวในการวัดของทั้งสองแบบนี้ แบบ Butt Weld จะให้ความไวในการวัดดีที่สุด
การเลือกใช้ Thermocouple ให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินไปที่จะทำความเข้าใจนะครับ เพียงแค่เรารู้จักการแบ่งประเภท การรู้จักรหัสสีเพื่อการเลือกประเภทใช้งานได้อย่างถูกต้อง หรือ ความเที่ยงตรงที่จะเป็นสิ่งที่จะเพิ่มความน่าเชื่อถือในการทำงาน และ สิ่งต่างๆที่ได้กล่าวมาทั้งหมดในเนื้อหานั้น เป็นส่วนสำคัญที่จะสนับสนุน และ เสริมการทำงานของท่านให้ได้ดีและมีประสิทธิภาพต่อไปได้ครับ
ซึ่งถ้าหากท่านมีข้อสังสัยเพิ่มเติมว่า Thermocouple คือ อะไร? หรือ ต้องการเสนอแนะในส่วนใด ท่านสามารถส่งข้อความของท่านได้ในกล่องเสนอความคิดเห็นที่อยู่ทางด่านล่าง หรือ ถ้ามีความสนใจใน กลุ่มสินค้าของ Thermocouple ก็สามารถติดต่อ Factomart.com เราได้โดยตรงในทุกช่องทางการติดต่อของเรานะครับ